ยังจำช่วงเวลาเมื่อแต่ละเช้าต้องเบียดรถไฟฟ้า วิ่งไล่ตามรถบัส เหมือนเข้าสู่สมรภูมิรบเพื่อไปถึงที่ทำงานได้ทันไหม? ตอนนี้หมดปัญหาแล้ว เพราะเมื่อการทำงานจากระยะไกลถูกประกาศใช้ เสื้อผ้าคลุมนอนก็กลายเป็นชุดทางการ เก้าอี้โซฟาคือห้องประชุม และแมวเหมียวในบ้านก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานไปโดยปริยาย ในฮ่องกงซึ่งเป็นสถานที่ที่ "เวลาคือเงิน" และ "การเดินทางไปทำงานคือบทลงโทษ" การทำงานจากระยะไกลจึงเหมือนพรจากสวรรค์! ไม่ต้องกังวลว่าจะสายแค่ 5 นาทีแล้วโดนหักโบนัส หรือต้องรีบใช้เวลากลางวันวิ่งไปธนาคารรอคิว ประสิทธิภาพการทำงานกลับแอบเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ — เพราะใครจะไม่อยากทำงานให้เสร็จเร็วๆ เพื่อจะได้รีบซุกตัวลงใต้ผ้าห่มแล้วเปิดซีรีส์ดูต่อหละ?
ที่เจ๋งกว่านั้น คือโรคระบาดที่มาแบบไม่ได้รับเชิญ แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้บรรดาเจ้านายต้องยอมปล่อยลายเซ็นบนกระดาษ แล้วหันมากอดเทคโนโลยีแทน ทันใดนั้น กระบวนการอนุมัติผ่าน DingTalk ก็ปรากฏตัวเหมือนฮีโร่ซูเปอร์แมน: การขอลา การเบิกค่าใช้จ่าย การสั่งซื้อสินค้า แค่กดครั้งเดียว ระบบจะส่งต่ออัตโนมัติ ไม่ต้องวิ่งตามหัวหน้าเพื่อขอประทับตราจนเหนื่อยหอบ อีกต่อไป แม้ทีมงานจะกระจายตัวอยู่ทั้งฝั่งเกาลูน เกาะฮ่องกง หรือแม้แต่ต่างประเทศ กระบวนการอนุมัติก็ยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ทำให้เกิดความเป็นจริงที่ว่า “อยู่ที่ไหน ก็เท่ากับว่าสำนักงานอยู่ที่นั่น”
การทำงานระยะไกลไม่ใช่การเลี่ยงงาน แต่คือการทำงานที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น และหากอยากทำงานอย่างชาญฉลาด ก็จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือที่เหมาะสมเป็นฐาน — นี่เองคือช่วงเวลาที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (digital transformation) ได้ค่อยๆ ก้าวเข้ามาอย่างเงียบๆ
ความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล อาจฟังดูแล้วเย็นชาและเน้นเทคโนโลยีเกินไป แต่จริงๆ แล้วมันก็เหมือนคุณแม่ที่เพิ่งเรียนรู้วิธีใช้ Zoom เพื่อร่วมทานอาหารกับครอบครัวผ่านวิดีโอคอล — เมื่อเริ่มใช้งานได้แล้ว ชีวิตก็เปลี่ยนไปตลอดกาล! พูดง่ายๆ การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล คือการที่องค์กรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับปรุงรูปแบบการทำงานอย่างสิ้นเชิง เพิ่มประสิทธิภาพ และอาจถึงขั้นกำหนดประสบการณ์ของลูกค้าใหม่ ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของฮ่องกงที่รวดเร็วเหมือนรถไฟฟ้าผ่านสถานี การถามว่า "ควรจะเปลี่ยนผ่านหรือไม่" อาจล้าสมัยไปแล้ว คำถามที่ควรตั้งคือ "ยังทันไหม?"
ลองคิดดูว่า ถ้าคู่แข่งใช้ AI ในการจัดตารางงาน ใช้ระบบทำงานร่วมกันบนคลาวด์ และอนุมัติเอกสารอัตโนมัติ แต่คุณยังคงรอเซ็นเอกสารที่เครื่องแฟกซ์อยู่ นี่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการทรมานตัวเอง การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไม่ใช่แค่การสแกนเอกสารแล้วอัปโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต แต่คือการทำให้องค์กรทั้งหมด "เชื่อมต่อ" เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การทำงานจากระยะไกลกลายเป็นเรื่องปกติ หากไม่มีระบบดิจิทัลที่ลื่นไหล ทีมงานก็จะเหมือนอุปกรณ์ไวไฟหลายเครื่องที่สัญญาณเต็ม แต่กลับเชื่อมต่อกับเครือข่ายคนละแห่งกัน
ยกตัวอย่าง เช่น บริษัทออกแบบท้องถิ่นแห่งหนึ่ง หลังจากนำกระบวนการดิจิทัลเข้ามาใช้ ระยะเวลาในการตรวจสอบโครงการลดลงถึง 60% และการสื่อสารระหว่างแผนกก็ไม่ต้องถามว่า "ตอบอีเมลฉันยัง" อีกต่อไป จุดสำคัญคืออะไร? พวกเขาโยนทุกอย่าง ตั้งแต่การอนุมัติ การสื่อสาร ไปจนถึงการแชร์ไฟล์ ขึ้นไปอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหมด ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง นี่คือพลังของดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน — มันไม่ใช่แค่การอัปเกรดเครื่องมือ แต่คือการปฏิวัติแนวคิด ทำให้การทำงานจากระยะไกลไม่ใช่แค่ "ทำงานจากบ้าน" แต่คือ "ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ"
แนะนำกระบวนการอนุมัติผ่าน DingTalk
"หัวหน้า ผมขอลาป่วยพรุ่งนี้นะครับ!" — ในสำนักงานแบบเดิม ประโยคนี้อาจต้องพูดหน้าตาต่อหน้า ส่งกระดาษโน้ต หรือให้เพื่อนร่วมงานช่วยบอกต่อ แต่ในยุคใหม่ของการทำงานระยะไกลในฮ่องกง ประโยคนี้สามารถกลายเป็นคำขออย่างเป็นทางการผ่านกระบวนการอนุมัติของ DingTalk ได้ทันที แม้แต่ใบรับรองแพทย์ก็อัปโหลดได้เลย รวดเร็วกว่าจามเสียงเดียว!
กระบวนการอนุมัติของ DingTalk ไม่ใช่แค่ย้ายกระดาษมาไว้บนมือถือ แต่คือการสร้างใหม่ทั้งหมดของเส้นทางการตัดสินใจในองค์กร การขอลา การเบิกค่าใช้จ่าย การทำงานล่วงเวลา การสั่งซื้อ การเดินทางไปต่างจังหวัด... ทุกสิ่งที่เคยต้อง "เอาไปให้หัวหน้าเซ็น" ตอนนี้สามารถส่งได้ด้วยการกดเพียงครั้งเดียว แล้วระบบจะส่งต่อให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ ที่เจ๋งกว่านั้นคือ ระบบรองรับการอนุมัติหลายขั้นตอน เงื่อนไขแยกย่อย และการแจ้งเตือนอัตโนมัติ เช่น หากยอดเบิกเกิน 2,000 ดอลลาร์ฮ่องกง ระบบจะส่งต่อไปยังฝ่ายการเงินทันที โดยไม่ต้องจำกฎเอง
การทำงานระยะไกลที่น่ากลัวที่สุดคือ "รอเซ็นชื่อ" — นั่งอยู่ที่บ้าน แต่ใบลาค้างอยู่ในอีเมลของหัวหน้าสามวันยังไม่ตอบ? การแจ้งเตือนทันทีและการติดตามการอ่านผ่าน DingTalk ทำให้ฝันร้ายเหล่านี้หายไปหมด แม้หัวหน้าจะอยู่บนเครื่องบิน ก็แค่เปิดมือถือ แตะสองที วันลาของคุณก็ได้รับการอนุมัติแล้ว ประวัติการอนุมัติทั้งหมดถูกเก็บไว้ครบถ้วน ตรวจสอบได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสอบบัญชี ความเป็นไปตามข้อกำหนด (compliance) ก็กลายเป็นเรื่องง่ายดาย
นี่ไม่ใช่แค่การอัปเกรดเครื่องมือ แต่คือวิวัฒนาการของตรรกะการทำงาน จาก "ตามหาคนมาประทับตรา" สู่ "กระบวนการวิ่งเองโดยอัตโนมัติ" ประสิทธิภาพพุ่งสูง อนาคตที่ดีกว่าอยู่ไม่ไกล
ตัวอย่างการใช้งานจริงของกระบวนการอนุมัติผ่าน DingTalk
"หัวหน้า ผมขอลา!" — ประโยคนี้ในกลุ่มแชทของบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งในฮ่องกง ไม่ก่อให้เกิดคำถามต่อเนื่องหรือการรอคอยอีกต่อไป แต่ก่อน พนักงานขอแค่วันลา ก็ต้องโทรแจ้ง แล้วส่งอีเมล แล้วตามด้วยการส่งเอกสารกระดาษเพิ่มเติม กระบวนการอนุมัติเหมือนเกมตามหาสมบัติ ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้หัวหน้าเปิดอีเมลหรือยัง ตั้งแต่ใช้กระบวนการอนุมัติผ่าน DingTalk ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายดั่งการสั่งอาหารเดลิเวอรี: แค่แตะนิ้ว ใบลาจะถูกส่งถึงมือหัวหน้าทันที แม้หัวหน้าจะกำลังรอเครื่องที่สนามบิน ก็แค่เลื่อนนิ้วบนมือถือ วันลาของคุณก็ได้รับการอนุมัติแล้ว
ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ กระบวนการทำเบิกค่าใช้จ่าย แต่ก่อน แผนกการเงินมักได้รับสำเนาใบเสร็จที่ถ่ายภาพมาเบี้ยวๆ เอียงๆ ตอนนี้พนักงานสามารถอัปโหลดภาพถ่ายที่ชัดเจนได้ทันที ระบบจัดเก็บอัตโนมัติ ประวัติการอนุมัติโปร่งใสทั้งหมด ไม่มีใครต้องพูดอีกแล้วว่า "ผมส่งไปแล้วนะ!" บริษัทนี้ยังได้ผสานกระบวนการอนุมัติของ DingTalk เข้ากับระบบบริหารโครงการอย่างลึกซึ้ง ทำให้การมอบหมายงาน ติดตามความคืบหน้า และขออนุมัติค่าใช้จ่าย เป็นกระบวนการเดียวกันทั้งหมด การทำงานร่วมกันจากระยะไกลจึงไม่ใช่การตะโกนข้ามช่องว่างอีกต่อไป จากข้อมูลภายใน พบว่าระยะเวลาการอนุมัติโดยเฉลี่ยลดลงถึง 70% ความพึงพอใจของพนักงานพุ่งสูง แม้แต่แผนกไอทีก็พูดยิ้มๆ ว่า "สุดท้ายเราก็ไม่ต้องตามหากระดาษที่ 'ไม่รู้ว่าติดอยู่ที่หัวหน้าคนไหน' อีกแล้ว"
การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกวันในช่องแชทของ DingTalk
วิธีใช้กระบวนการอนุมัติผ่าน DingTalk อย่างมีประสิทธิภาพ
"กระบวนการอนุมัติค้าง หัวหน้าไปพักร้อน เลขาลาป่วย?" อย่าปล่อยให้การขอเซ็นเอกสารแบบกระดาษกลายเป็นเกมตามหาสมบัติอีกต่อไป! กระบวนการอนุมัติผ่าน DingTalk ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหา "ใครยังไม่เซ็น" ที่แสนปวดหัว แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล แต่เพียงมีเครื่องมืออย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้อย่างชาญฉลาด ประสิทธิภาพถึงจะพุ่งทะยาน
ขั้นแรก การตั้งกติกาการอนุมัติ ก็เหมือนการออกแบบเส้นทางรถไฟฟ้า — ถ้าควรเป็นขบวนด่วน ก็อย่าให้จอดทุกสถานี! คุณสามารถแบ่งเส้นทางอัตโนมัติตามจำนวนเงิน แผนก หรือประเภทการลา เช่น การเบิกต่ำกว่า 1,000 บาท ให้หัวหน้าอนุมัติทันที แต่ถ้าเกินก็ส่งต่อไปยังฝ่ายการเงิน วิธีนี้ช่วยลดการรอคอย และป้องกันไม่ให้ผู้บริหารระดับสูงต้องจมอยู่กับเรื่องเล็กๆ อย่าลืมเปิดใช้งานฟังก์ชัน "ส่งสำเนาถึง" (CC) เพื่อให้แผนกทรัพยากรบุคคลหรือฝ่ายธุรการได้รับข้อมูลพร้อมกัน ไม่ให้ข้อมูลรั่วหรือตกหล่น
ข้อสอง อย่าลืมว่าข้อมูลการอนุมัติคือแหล่งทองคำ! การตรวจสอบตัวชี้วัดเช่น "เวลาดำเนินการเฉลี่ย" หรือ "อัตราการปฏิเสธ" เป็นประจำ สามารถช่วยคุณค้นพบจุดตันที่ซ่อนอยู่ เช่น แผนกหนึ่งมักทำให้กระบวนการช้าลง? อาจเพราะกติกายุ่งยากเกินไป หรือพนักงานยังไม่คุ้นกับการใช้งาน ตรงนี้เองที่ การวิเคราะห์ข้อมูล + ข้อเสนอแนะจากพนักงาน จะกลายเป็นชุดเครื่องมือสืบสวนของคุณ
สุดท้าย การอบรมไม่ควรถูกมองข้าม! จัดกิจกรรมจำลองสถานการณ์ชื่อว่า "สงครามเอาชีวิตรอดกับ DingTalk" เพื่อให้พนักงานได้ซ้อมขออนุมัติการเดินทางด่วนว่าต้องทำอย่างไรให้เร็วที่สุด การป้องกันดีกว่าการแก้ปัญหาภายหลัง การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะทำให้กระบวนการอนุมัติไม่ใช่อุปสรรค แต่กลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันจากระยะไกล